คือโรคที่เกิดจากการสึกกร่อนของกระดูกอ่อนผิวข้อ ซึ่งเป็นผลมาจากอายุที่เพิ่มขึ้นและ การใช้งานมาก ผิวข้อที่สึกจะมีการขัดสีกัน ทําให้เกิดอาการปวดเข่าตามมา
ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการได้ โดยจุดมุ่งหมายในการรักษาคือ ช่วยบรรเทาอาการปวด ช่วยให้หน้าที่การทํางานของข้อกลับคืน สู่ภาวะปกติหรือใกล้เคียงปกติมากที่สุด และป้องกันหรือแก้ไขการผิดรูปของข้อ วิธีการรักษาจะ แตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ ความรุนแรงของโรค การใช้ งานที่คาดหวัง และความพร้อมของผู้ให้การรักษา
การรักษามีแนวทางหลัก 2 วิธี ได้แก่ การรักษาโดยวิธีการไม่ผ่าตัด และการรักษาด้วย วิธีการผ่าตัด
1.การปรับเปลี่ยนการใช้งานในชีวิตประจําวัน ได้แก่
2.ผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวมากควรลดน้ำหนักอย่างถูกต้อง
3. การใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงเดิน เช่น ไม้เท้า ไม้ค้ำยัน จะช่วยลดแรงที่เกิดกับข้อ ได้
4. ที่นอนควรมีความสูงระดับเข่า ไม่ควรนอนบนพื้นเพราะจะปวดมากเวลาจะนอนหรือลูก
5. การประคบอุ่นบริเวณข้อเข่า ช่วยลดอาการปวดและกล้ามเนื้อเกร็งได้
6. การสวมสนับเข่า ในกรณีที่ข้อเข่าเสียความมั่นคง จะช่วยกระชับข้อและลดอาการปวด
7. การทํากายภาพบําบัด ได้แก่ การฝึกความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อรอบข้อ การเพิ่มหรือคงไว้ซึ่งพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อ และการเพิ่มสมรรถภาพของร่างกาย
8. การใช้ยา ปัจจุบันมียาหลายกลุ่มที่ใช้รักษาโรคข้อเสื่อม ได้แก่
มีข้อบ่งชี้คือ ผู้ป่วยที่รับการรักษาด้วยวิธีการไม่ผ่าตัดแล้วให้ผลการรักษาล้มเหลว โดย ผู้ป่วยยังมีอาการที่รุนแรงอยู่จนไม่สามารถทํากิจวัตรประจําวันพื้นฐานได้ปกติ การผ่าตัดมีหลาย วิธี ได้แก่
คือการผ่าตัดเพื่อนผิวข้อเข่าเดิมที่เสื่อมสภาพออก และทดแทนผิวข้อใหม่ด้วยข้อเข่า เทียม
ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมที่รับการรักษาด้วยวิธีการไม่ผ่าตัด (การใช้ยา การทํากายภาพบําบัด และการปรับเปลี่ยนการใช้งานข้อเข่า) อย่างเต็มที่แล้วยังให้ผลการรักษาที่ไม่ดี โดยยังมีลักษณะ ต่อไปนี้อยู่
ข้อเข่าเทียมมีส่วนประกอบสําคัญ 4 ส่วน ได้แก่
ผู้ป่วยจะหายจากอาการเจ็บปวด มีข้อเข่าที่ตรงและมั่นคง สามารถเดินและใช้งานได้ เหมือนหรือใกล้เคียงกับเข่าปกติโดยไม่ต้องใช้ยาอีก ผู้ป่วยมากกว่าร้อยละ 95 มีความพึงพอใจ ต่อการผ่าตัด
ใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 1 ถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง ภายใต้การให้ยาระงับความรู้สึกทางสันหลัง โดยการตัดเอากระดูกผิวข้อที่เสื่อมออก ปรับให้เส้นเอ็นและเนื้อเยื่อรอบข้ออยู่ในภาวะสมดุล และมั่นคง แล้วทําการใส่ข้อเทียม โดยส่วนใหญ่มักใช้ซีเมนต์กระดูกยึดระหว่างข้อเทียมกับ กระดูก เมื่อสารนี้แข็งตัวดีจะมีความแข็งแรงและทนทานมาก ทําให้สามารถใช้งานข้อและเดิน ลงน้ำหนักได้ทันทีหลังการผ่าตัด
ประมาณ 5-7 วัน เพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและทํากายภาพบําบัด โดยจะให้เริ่มเคลื่อนไหว ข้อและฝึกเดินในวันแรกหลังผ่าตัด เมื่อสามารถเดินและช่วยเหลือตัวเองได้อย่างมั่นใจก็สามารถ กลับบ้านได้
ขึ้นอยู่กับการประเมินร่างกายก่อนการผ่าตัด ผู้ป่วยทุกรายจะได้รับการตรวจสุขภาพ ร่างกายอย่างละเอียด รวมทั้งการทํางานของปอด หัวใจ ตับ ไต ความเข้มข้นของเลือด เกร็ดเลือด ระดับน้ำตาล เกลือแร่ และโปรตีนในร่างกาย แล้วประเมินว่าสามารถเข้ารับการผ่าตัดได้หรือไม่ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้ป่วย
ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ ที่ชํานาญเฉพาะทางด้านการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม
เฉลี่ยประมาณ 20 – 25 ปีถ้าได้รับการผ่าตัด โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและไม่มีภาวะแทรกซ้อน
ขึ้นอยู่กับงานที่ทํา โดยเฉลี่ยสามารถเริ่มทํางาน ขับรถและเดินทาง และเริ่มออกกําลังหรือ เล่นกีฬาที่ไม่มีการกระแทกข้อเข่า เช่น การเดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เล่นกอล์ฟได้ประมาณ 6 -8 สัปดาห์หลังผ่าตัด
คือการผ่าตัดเพื่อนำส่วนของข้อสะโพกเดิมที่เสื่อมสภาพ กระดูกตายหรือแตกหักออก และ
ทดแทนข้อใหม่ด้วยข้อสะโพกเทียม
ข้อสะโพกเทียมทำจากอะไร
มี 2 วิธีขึ้นอยู่กับสภาพกระดูกสะโพกของผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์ ได้แก่
1. การใช้ซีเมนต์
ชนิดพิเศษที่ใช้สำหรับยึดกระดูกกับข้อเทียม
2. การยึดข้อเทียมกับกระดูกโดยไม่ใช้ซีเมนต์ซึ่ง
กรณีนี้ข้อเทียมจะมีพื้นผิวแบบขรุขระ เนื้อกระดูกจะฝังตัวเข้าที่พื้นผิวนี้
ประโยชน์ของการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม
ผู้ป่วยจะหายจากอาการเจ็บปวด มีข้อสะโพกที่มั่นคง เคลื่อนไหวได้ดี สามารถเดินและใช้งาน
ได้เหมือนหรือใกล้เคียงกับปกติ ผู้ป่วยมากกว่าร้อยละ 95 มีความพึงพอใจต่อการผ่าตัด
ใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 1 ถึง 2 ชั่วโมงขึ้นกับความรุนแรงของโรค ภายใต้การให้ยาระงับ
ความรู้สึกทางสันหลัง แผลผ่าตัดจะอยู่บริเวณด้านข้างของสะโพก แพทย์จะตัดเอาส่วนหัวของกระดูก
สะโพกออก เจียผิวของเบ้าสะโพกให้เรียบและมีรูปร่างที่เหมาะสม แล้วทำการใส่ข้อสะโพกเทียม
หลังจากผ่าตัดจะอยู่ที่ห้องพักฟื้นประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วจึงกลับไปยังห้องผู้ป่วย
ประมาณ 5-7 วัน เพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและทำกายภาพบำบัด โดยจะให้เริ่มเคลื่อนไหวข้อ
และ ฝึกเดินในวันแรกหลังผ่าตัด เมื่อสามารถเดินและช่วยเหลือตัวเองได้อย่างมั่นใจก็สามารถกลับ
บ้านได้
ขึ้นอยู่กับการประเมินร่างกายก่อนการผ่าตัด ผู้ป่วยทุกรายจะได้รับการตรวจสุขภาพร่างกายอย่าง
ละเอียด รวมทั้งตรวจการทำงานของปอด หัวใจ ตับ ไต ความเข้มข้นของเลือด เกล็ดเลือด ระดับน้ำตาล
เกลือแร่และโปรตีนในร่างกาย แล้วประเมินว่าสามารถเข้ารับการผ่าตัดได้หรือไม่เพื่อความปลอดภัย
สูงสุดของผู้ป่วย
ศัลยแพทย์กระดูกและข้อที่ชำนาญเฉพาะทางด้านการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม
แตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพร่างกายของผู้ป่วย น้ำหนักตัว ระดับ
ของงานหรือกิจกรรมที่ทำ โดยทั่วไปมีอายุการใช้งานเฉลี่ยประมาณ 15 – 20 ปี ถ้าได้รับการผ่าตัดและ
ติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่องโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและไม่มีภาวะแทรกซ้อน
ขึ้นอยู่กับงานที่ทำ โดยเฉลี่ยสามารถเริ่มทำงาน ขับรถ เดินทาง และเริ่มออกกำลังหรือเล่นกีฬาที่ไม่
มีการกระแทกข้อเข่า เช่น การเดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เล่นกอล์ฟได้ประมาณ 6 -8 สัปดาห์หลังผ่าตัด
ปัจจุบันมีการพัฒนาผลิตผิวสัมผัสของข้อให้มีความคงทนมากขึ้น สึกช้าลง ส่งผลให้อายุการใช้
งานของข้อยาวนานขึ้น เช่นการใช้เซรามิกหรือโลหะทำผิวเบ้าสะโพกเทียม หรือการใช้เซรามิกทำหัว
สะโพกเทียม
คือเส้นเอ็นขนาดเล็ก 4 เส้นที่อยู่บริเวณรอบข้อไหล่ เส้นเอ็นกลุ่มนี้เป็นส่วนที่ต่อเนื่องมาจากกล้ามเนื้อสะบักทอดผ่าน ข้อไหล่และยึดเกาะกับส่วนบนของกระดูกต้นแขน ทําหน้าที่ช่วยในการขยับไหล่เช่นกางแขน ยกแขน หมุน ไหล่ เป็นต้น
การอักเสบของเส้นเอ็นข้อไหล่เกิดจากการใช้งานไหล่ซ้ำๆกันโดยเฉพาะงานที่ต้องยกแขนสูง เช่น ปัดฝุ่นหรือเช็ดถู ประตู-หน้าต่าง ตัดแต่งกิ่งไม้ ทาสีฝาผนังหรือเพดาน หรืองานหนักที่ต้องใช้แรงไหล่มาก เช่นงานที่ต้องยก แบกหรือหามของ หนัก หรือพบในนักกีฬาที่ต้องยกแขนสูง เช่น บาสเกตบอล ว่ายน้ำ แบดมินตัน
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดบริเวณไหล่โดยเฉพาะเวลายกหรือขยับไหล อาจมีอาการปวดร้าวลงไปบริเวณต้นแขนได้ บางคน อาจมีอาการขัด ขยับไหล่ลําบากหรือบวมบริเวณไหล่ร่วมด้วย อาการเริ่มแรกอาจไม่รุนแรงมาก แต่ถ้ายังมีการใช้งานต่อไป อาการปวดอาจรุนแรงมากขึ้น อาจปวดตอนกลางคืนหรือปวดตอนพักได้ รู้สึกแขนล้าและไม่มีแรง สุดท้ายพิสัยการเคลื่อนไหว จะลดลงและทํากิจกรรมบางอย่างลําบาก เช่นสระผม หวีผม เกาหลัง ติดกระดุมหรือรูดซิบที่อยู่ด้านหลัง
โดยทั่วไปแพทย์สามารถวินิจฉัยภาวะนี้ได้จากการซักถามอาการและการตรวจร่างกาย โดยไม่จําเป็นต้องตรวจภาพถ่าย เอกซเรย์ ยกเว้นในกรณีที่แพทย์สงสัยว่ามีกระดูกงอกบริเวณใกล้เคียงกับเส้นเอ็นไหล่ และทําให้เกิดการเสียดสีระหว่างกระดูก งอกกับเส้นเอ็น หรือแพทย์สงสัยโรคหรือภาวะอื่นๆของกระดูกและข้อ ไหล่ ในบางกรณีอาจต้องตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เช่นมีอาการปวดเรื้อรัง รักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือสงสัยว่ามีการฉีกขาดของเส้นเอ็นข้อ ไหล่ร่วมด้วย
วัตถุประสงค์ของการรักษาคือลดอาการปวดและทําให้กลับไปใช้งานข้อไหล่ได้ โดยการรักษาขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย เช่น สุขภาพ อายุและการใช้งานที่ต้องการ ซึ่งมีการรักษา 2 แนวทาง ได้แก่
ผู้ป่วยส่วนใหญ่เริ่มการรักษาด้วยวิธีนี้ โดยอาการปวดจะค่อยๆลดลง และการใช้งานจะค่อยๆดีขึ้นจนกลับไปใช้งานได้ ปกติ อาจใช้เวลาในการรักษานานหลายสัปดาห์จนกระทั่งหลายเดือน ประกอบด้วยหลายวิธี ได้แก่
มีข้อบ่งชี้ในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีไม่ผ่าตัด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตัดแต่งส่วนของเส้นเอ็นและ เนื้อเยื่อบริเวณข้อไหล่ที่มีการอักเสบออก รวมทั้งการตัดแต่งบางส่วนของกระดูกรอบข้อที่ทําให้เกิดการเสียดสีกับเส้นเอ็น เทคนิคการผ่าตัดที่นิยมใช้ในปัจจุบันคือ การผ่าตัดโดยการส่องกล้อง ซึ่งทําผ่านแผลผ่าตัดขนาดเล็กๆบริเวณไหล่
คือการอักเสบและบาดเจ็บของเส้นเอ็นแขนในบริเวณที่ยึดเกาะกับปุ่มกระดูกด้านข้างข้อศอก เกิดจากการ ใช้งานมากและใช้งานซ้ำๆกัน พบบ่อยในช่วงอายุ 30-50 ปี เพศหญิงมากกว่าเพศชายเล็กน้อยและพบในแขนข้าง ที่ถนัดมากกว่า แต่อาจพบพร้อมกันทั้ง 2 ข้างได้
(ในบางคนภาวะนี้เกิดกับเส้นเอ็นแขนในบริเวณที่ยึดเกาะกับปุ่มกระดูกด้านในข้อศอก เรียกว่า โรคปวด ข้อศอก Golfer elbox หรือ Medial epicondylitis)
การใช้งานหรือทํากิจกรรมบางอย่าง ที่ต้องใช้งานกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นแขน โดยเฉพาะการกระดกข้อมือ ขึ้นลงซ้ำๆกัน และต้องออกแรงมาก เช่น แม่บ้านที่ต้องกวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า หรือทํากับข้าวนานๆ, ช่างไม้ ช่าง ประปา ที่ต้องออกแรงใช้ข้อมือทํางาน, แม่ค้าขายเนื้อที่ต้องนั่นหรือสับเนื้อ ตลอดจนนักกีฬาบางประเภท เช่นนัก เทนนิส นักแบดมินตัน นักกอล์ฟเป็นต้น แต่ในบางคนก็เกิดขึ้น โดยไม่มีสาเหตุนํามาก่อน
ปวดบริเวณด้านข้างของข้อศอก อาจปวดร้าวลงไปที่แขนหรือร้าวขึ้นไปที่ต้นแขน บางคนอาจรู้สึกล้าหรือ อ่อนแรงในการกํามือ อาการมักเป็นมากขึ้นเมื่อใช้งานข้อมือและแขนข้างนั้น เช่นบิดผ้า บิดแฮนด์รถมอเตอร์ไซค์ บิดประแจ ไขกุญแจ เล่นเทนนิส เป็นต้น
การรักษา ประกอบด้วย 2 วิธี ได้แก่
1. การรักษาด้วยวิธีการไม่ผ่าตัด ประมาณ 80-95% ของผู้ป่วยสามารถรักษาสําเร็จด้วยวิธีนี้ มีหลายวิธี ได้แก่
2. การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด
ถ้าใช้วิธีการรักษาด้วยวิธีการ ไม่ผ่าตัดอย่างเต็มที่ 6-12 เดือนแล้วยังไม่ได้ผล แพทย์อาจแนะนําให้รักษา ด้วยวิธีการผ่าตัด โดยเป็นการตัดแต่งเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อที่บาดเจ็บ และมีสภาพที่ไม่ดีออกไป และซ่อมแซม ส่วนที่ดียึดเข้ากับกระดูกด้านข้างข้อศอก
โรคเกาต์คือโรคที่มีการอักเสบของข้อ เกิดจากการมีกรดยูริกในกระแสเลือดสูงเป็นระยะเวลานานและแพร่เข้าสู่ ข้อ กลายเป็นผลึกเกาต์สะสมในข้อ ซึ่งผลึกเกาต์เปรียบเสมือนสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย ร่างกายจะตอบสนองโดยเกิด การอักเสบของข้อขึ้น โรคเกาต์เป็นโรคเรื้อรังและมีแนวโน้มที่จะแย่ลงเรื่อยๆ การวินิจฉัยและรักษาให้ถูกต้องจะสามารถ ควบคุมไม่ให้เกิดการอักเสบและป้องกันการทําลายข้อได้
เกิดจากร่างกายผลิตกรดยูริกสูงเกินหรือกําจัดออกจากร่างกายได้น้อยกว่าปกติ
กรดยูริกเกิดจากการย่อยสลายของสารพิวรีนซึ่งพบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย หรือพบมากในอาหารบาง ประเภท ร่างกายจะขับกรดยูริกโดยผ่านทางไตและปัสสาวะเพื่อควบคุมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ระดับกรดยูริกที่ปกติ ในร่างกายจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ
ข้อที่อักเสบจะมีอาการปวดและบวม อาจมีลักษณะแดงหรือร้อนได้ ข้อที่พบบ่อยคือข้อโคนนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า และข้อเข่า อาการปวดจะเป็นทันทีและรุนแรง อาจจะยืนหรือเดินลงน้ำหนักไม่ได้ การอักเสบกินระยะเวลาประมาณ 3-10 วันแล้วอาการจะค่อยๆดีขึ้นช้าๆ แต่ถ้ารับการรักษาอาการจะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดการอักเสบ กําเริบซ้ำได้อีก โดยอาการอาจจะรุนแรงขึ้นและเกิดขึ้นได้ เมื่อเป็นมากขึ้นอาจเกิดการทําลายผิวข้อ ทําให้ผิวข้อสึก เกิด อาการปวดข้อเรื้อรังหรือข้อผิดรูปได้ ในกรณีที่ระดับกรดยูริกสูงเป็นระยะเวลานาน อาจเกิดการแพร่เข้าสู่และสะสมใน เนื้อเยื่อตามบริเวณต่างๆ ในร่างกาย ทําให้มีลักษณะเป็นก้อนใต้ผิวหนัง เช่นบริเวณใบหูรอบๆข้อหรือเส้นเอ็นของนิ้วมือ หรือนิ้วเท้า เกิดการอักเสบเรื้อรังของเนื้อเยื่อบริเวณนั้น บางครั้งก้อนอาจแตกออกมานอกผิวหนังและเกิดการอักเสบติด เชื้อซ้ำได้ ถ้าสะสมที่ไตอาจทําให้เกิดนิ่วในไตหรือไตวายได้
แพทย์จะวินิจฉัยจากการซักประวัติ การตรวจร่างกาย ถ้าอาการไม่ดีขึ้นจากการรักษาเบื้องต้น อาจต้องตรวจเลือด คระดับของกรดยูริกเพื่อประกอบการวินิจฉัย อย่างไรก็ตามการวินิจฉัยที่ดีที่สุดคือการตรวจน้ำไขข้อเพื่อหาผลึกเกาต์
มีความเข้าใจผิดกันมาก ว่าการตรวจเลือดเพื่อหาระดับกรดยูริกเป็นวิธีการวินิจฉัยโรคเกาต์ ความจริงแล้วการ ตรวจเลือดนั้นเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งที่ช่วยในการวินิจฉัยเท่านั้น การตรวจพบระดับกรดยูริกในเลือดสูงเพียงอย่าง เดียวไม่ได้หมายความว่าผู้ป่วยจะต้องเป็นโรคเกาต์เสมอไป ยังมีสาเหตุอื่นๆอีกที่ทําให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงโดยที่ ผู้ป่วยไม่ได้เป็นโรคเกาต์
การรักษาประกอบด้วย
1. การลดการอักเสบและอาการปวดในช่วงที่กําเริบ ควรลดการใช้งานของข้อลง ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม ยกข้อให้
สูงกว่าระดับหัวใจ เช่น ถ้าข้อเข่าหรือข้อเท้าอักเสบให้ยกขาสูงเวลานอน
2. การป้องกันการอักเสบซ้ำและการลดปัจจัยเสี่ยงของการสะสมผลึกเกาต์ในข้อและในเนื้อเยื่อ และป้องกันการทําลายข้อ ในระยะยาว โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ประกอบด้วย
3. การใช้ยา แพทย์จะพิจารณาสั่งและปรับยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยยาที่ใช้มีหลายชนิด ได้แก่
อาหารที่มีสารพิวรีนสูง (มากกว่า 150 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม) ควรงด
อาหารที่มีสารพิวรีนปานกลาง(50 – 150 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม) ควรจํากัด
อาหารที่มีสารพิวรีนต่ำ (0 – 50 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม) สามารถรับประทานได้
เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทํางานทั่วๆ ไป พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มักมีอาการปวด ตึง ชา บริเวณฝ่ามือและนิ้วมือ
ภายในข้อมือของคนเราจะมีโพรงแคบๆคล้ายอุโมงค์เป็นที่ลอดผ่านของเส้นเอ็น เส้น เลือดและเส้นประสาท ซึ่งขอบของอุโมงค์ด้านล่างและด้านข้างจะเป็นกระดูกข้อมือหลายๆชิ้น ประกอบกัน ส่วนขอบบนจะคลุมด้วยพังผืด เส้นประสาทมีเดียนเป็นเส้นประสาทที่ทอดยาวมา จากต้นแขน ผ่านข้อมือเข้าไปในมือโดยลอดผ่านโพรงนี้
เกิดจากการที่เนื้อเยื่อรอบๆเส้นเอ็นข้อมือมีการบวมมากขึ้น ทําให้โพรงในบริเวณข้อมือ ตีบแคบมากขึ้น ส่งผลให้ความดันในข้อมือสูงขึ้น และไปกดเบียดเส้นประสาทมีเดียน
ปวด ชาบริเวณฝ่ามือและนิ้วมือ โดยเฉพาะนิ้ว โป้ง ชี้ กลาง และนิ้วนาง บางคนรู้สึกบวม ตึง อาจเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ มักมีอาการเด่นในมือข้างที่ถนัด อาการมักจะค่อยเป็นค่อย ไป โดยทั่วไปสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา แต่มักมีอาการมากขึ้นตอนกลางคืน เนื่องจากขณะหลับ มักมีการพับงอข้อมือ บางครั้งอาจตื่นขึ้นมาเนื่องจากอาการปวด ชา แต่เมื่อสะบัดข้อมือแล้ว อาการจะดีขึ้น ส่วนในช่วงกลางวันมักมีอาการในขณะที่มีการใช้ข้อมือมากหรืออยู่ในอิริยาบถที่ ข้อมือพับงอเป็นเวลานาน อาการเหล่านี้มักเป็นๆหายๆ แต่เมื่อนานเข้าอาจจะเป็นตลอดเวลา
นอกจากนี้ อาจมีอาการอ่อนแรงของมือและนิ้วได้ เช่น กํามือได้ไม่แน่น หยิบจับของ แล้วหล่นง่าย ถ้าไม่รีบรักษาจะสังเกตเห็นกล้ามเนื้อในมือฝ่อลีบ
โดยทั่วไปสามารถวินิจฉัยได้จากการซักประวัติและตรวจร่างกายโดยแพทย์ ในบางกรณี ที่อาการไม่ชัดเจน อาจต้องตรวจการนําไฟฟ้าของเส้นประสาทเพื่อใช้ช่วยยืนยันการวินิจฉัย หรือ ใช้แยกโรคบางอย่างที่มีอาการคล้ายๆกัน
มีสองวิธีหลักคือ
หากผู้ป่วยมาพบแพทย์เร็ว สามารถรักษาได้โดยการไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งมีหลายวิธีดังนี้
ในผู้ที่มีอาการค่อนข้างมาก ถ้ารักษาโดยวิธีการไม่ผ่าตัดแล้วได้ผลไม่ดี การผ่าตัดพังผืด จะช่วยลดการกดทับเส้นประสาทได้ การผ่าตัดเป็นการผ่าตัดเล็ก แผลผ่าตัดยาวประมาณ 1 – 1.5 ซม. ทําโดยการฉีดยาชาเฉพาะที่ ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 15 ถึง 20 นาที และไม่ต้องนอน โรงพยาบาล หลังการผ่าตัดผู้ป่วยสามารถขยับมือ และใช้งานเบาๆ ได้เลย อาการต่างๆมักจะ หายไปในช่วงเวลาอันสั้น อาจจะมีอาการเจ็บบริเวณแผลผ่าตัดบ้างเล็กน้อยจนกว่าแผลจะหาย
พังผืดใต้ฝ่าเท้าเป็นโครงสร้างปกติที่อยู่ใต้กระดูกเท้า มีลักษณะเป็นแผ่นเนื้อเยื่อแบน ยาว ยึดระหว่างกระดูก ส้นเท้ากับกระดูกนิ้วเท้า ทําหน้าที่รักษารูปร่างเท้าให้สมดุล และช่วยลดแรงกระแทกต่อเท้า
พบได้ค่อนข้างบ่อย โดยเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของผู้ป่วยที่มีอาการปวดใต้ส้นเท้า พบบ่อยในวัยกลางคน ผู้หญิงมากกว่าชาย และในคนที่ต้องใช้งานเท้ามากหรือสวมใส่รองเท้าไม่เหมาะสม
เกิดจากการบาดเจ็บของพังผืดใต้ฝ่าเท้า เนื่องจากมีแรงกดต่อพังผืดเป็นระยะเวลานานหรือซ้ำๆกัน ทําให้เกิด การอักเสบและตึงตัวของพังผืดขึ้น โดยมักจะเกิดในตําแหน่งที่พังผืดยึดกับกระดูกส้นเท้า
ปวดบริเวณใต้ส้นเท้า อาจปวดร้าวไปที่ฝ่าเท้าได้ โดยอาการมักเป็นมากในช่วงเช้าขณะเริ่มเดินก้าวแรกๆ ของ วัน ขณะเดินขึ้นบันได หรือหลังจากยืน เดินนานๆ โดยอาการปวดอาจค่อย ๆ เกิดขึ้นทีละน้อยหรือเกิดขึ้น ฉับพลันรุนแรงก็ได้
แบ่งเป็น 2 วิธี ได้แก่
ได้ผลค่อนข้างดี โดยมากกว่า 90 % ของผู้ป่วยอาการจะค่อยๆดีขึ้น มีหลายวิธี ได้แก่
เป็นทางเลือกสุดท้ายในกรณีที่รักษาด้วยวิธีการไม่ผ่าตัดอย่างเต็มที่ประมาณ 1 ปีแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น โดย หลักการผ่าตัดคือ การตัดพังผืดใต้ฝ่าเท้าออกบางส่วนเพื่อลดความตึงตัวของพังผืด
ท่าที่ 1: ผู้ป่วยยืนหันหน้าเข้าหากําแพง ใช้มือยันกําแพงไว้วางเท้าที่ต้องการยึดเอ็นร้อยหวายไว้ข้างหลัง แล้ว ค่อยๆย่อเข่าด้านหน้าลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้ โดยขาด้านหลังเหยียดตึง ฝ่าเท้าและส้นเท้าติดพื้นตลอดเวลา
ย่อลงจนรู้สึกว่าข้อพับด้านหลังและน่องติ้ง ทําค้างไว้ นับ 1 – 10 ถือเป็น 1 ครั้ง ทําชุดละ 10 ครั้ง อย่างน้อยวันละ
ท่าที่ 2: ผู้ป่วยนั่งเหยียดขาข้างที่ต้องการยึดเอ็นร้อยหวาย ใช้ผ้าคล้องที่ปลายเท้าไว้แล้วดึงเข้าหาตัวจนรู้สึกว่าน่อง ด้านหลังตึง ทําค้างไว้นับ 1 – 10 ถือเป็น 1 ครั้ง ทําชุดละ 10 ครั้ง อย่างน้อยวันละ 3-5 ชุด
ให้นั่งไขว่ห้าง เอาเท้าข้างที่เจ็บขึ้นมาวางบนต้นขาข้างตรงข้าม แล้วกํานิ้วเท้าข้างที่เจ็บและดันเข้าหาตัวใน ท่ากระดูกนิ้วเท้าขึ้น ให้รู้สึกว่าฝ่าเท้ายืดออก เกร็งค้างไว้ นับ 1 – 10 ถือเป็น 1 ครั้ง ทําชุดละ 10 ครั้ง อย่างน้อยวัน ละ 3-5 ชุด ถ้าทําท่านี้ไม่สะดวกอาจนั่งเหยียดขาใช้ผ้าพันรอบปลายเท้าแล้วดึงเข้าหาตัวก็ได้
คือภาวะที่เซลล์กระดูกในหัวสะโพกตายจากสาเหตุต่างๆ ส่วนใหญ่เกิดจากการขาดเลือดไปเลี้ยงกระดูก หัวสะโพก ทําให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลง เกิดการยุบตัวของกระดูกหัวสะโพกตามมา หากไม่ได้รับการ รักษา โรคจะดําเนินไปเรื่อย ๆ จนเกิดภาวะข้อสะโพกเสื่อมตามมา และเป็นสาเหตุสําคัญอันดับแรกที่ต้องผ่าตัด เปลี่ยนข้อสะโพกเทียมในโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่
กระดูกหัวสะโพกตายเกิดได้จากหลายสาเหตุ แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ 1. สาเหตุจากอุบัติเหตุที่เกิดกับบริเวณข้อสะโพก เช่น กระดูกข้อสะโพกหัก หรือข้อสะโพกเคลื่อนหลุด 2. สาเหตุจากโรคประจําตัว หรือได้รับสารบางประเภท เช่น ภาวะเลือดแข็งตัวง่าย การดื่มแอลกอฮอล์ หรือการใช้ยาสเตียรอยด์ในปริมาณมาก การฉายรังสีบริเวณอุ้งเชิงกราน เป็นต้น
ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวดข้อสะโพก บริเวณขาหนีบ อาจปวดร้าวไปหน้าต้นขาหรือหัวเข่าได้ ขยับข้อ สะโพกแล้วรู้สึกปวดมากขึ้น ติดขัดหรือขยับได้น้อยกว่าที่เคยเป็น เดินไม่คล่อง ปวดเวลาเดิน ถ้าเป็นมากอาจ เดินลําบาก เดินกะเผลก หรือรู้สึกขาสั้นยาวไม่เท่ากัน
แพทย์จะวินิจฉัยจากประวัติ การตรวจร่างกาย และการใช้ภาพเอกซเรย์ร่วมกัน บางครั้งอาจจําเป็นต้อง ใช้ภาพเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าร่วมด้วย เพราะในระยะแรกของโรค อาจไม่พบความผิดปกติจากภาพเอกซเรย์ ชนิดธรรมดา
จุดมุ่งหมายในการรักษาในระยะแรกของโรคคือ การพยายามชะลอการดําเนินโรคจนเกิดความเสียหาย ต่อกระดูกหัวสะโพกและข้อสะโพกให้ช้าที่สุด แต่ถ้าเข้าสู่ระยะที่กระดูกหัวสะโพกตายและยุบ หรือเกิดการ เสื่อมของข้อสะโพกแล้ว ไม่สามารถจะทําให้กลับมาเป็นปกติได้อีก การรักษาคือการทดแทนกระดูกและข้อที่เสียไป ดังนั้นการพิจารณาว่าจะให้การรักษาด้วยวิธีใด จะต้องคํานึงถึงขนาดของรอยโรคระยะของโรค ความคาดหวังของผู้ป่วย และผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากการรักษา โดยการรักษาแบ่งได้เป็น 2 แนวทาง คือ
คือภาวะที่ความหนาแน่นของกระดูกลดลง และโครงสร้างของกระดูกเสื่อมลง ทําให้กระดูก เปราะบาง และมีโอกาสหักหรือยุบตัวได้ง่าย พบบ่อยในผู้สูงอายุหรือหญิงวัยหมดประจําเดือน
ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายที่สุดคือกระดูกหัก บริเวณที่พบบ่อย ได้แก่ กระดูกสันหลัง สะโพก และข้อมือ กระดูกหักจะทําให้เกิดอาการปวดมากจนไม่สามารถใช้งานต่อได้ ต้องพัก รักษาตัวเป็นเวลานานทําให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ปอด อักเสบ แผลกดทับ ภาวะโรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นเหตุให้สุขภาพแย่ลงอย่างรวดเร็ว อาจ เป็นอันตรายต่อชีวิตได้
ระยะแรกมักไม่มีอาการ แต่เมื่อเป็นมากขึ้นอาจมีอาการปวดหลังเรื้อรัง หลังโก่งค่อม ความสูง ลดลง กระดูกหักง่ายกว่าคนปกติแม้ไม่มีอุบัติเหตุที่รุนแรง
ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงและสงสัยว่าเป็นโรคกระดูกพรุนควรปรึกษาแพทย์ และตรวจวัดความ หนาแน่นของกระดูกโดยใช้เครื่องวัดมวลกระดูกเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง
ในคนปกติ หลังอายุ 40 ปี ความหนาแน่นของเนื้อกระดูกจะลดลง ดังนั้นจึงควรเสริมสร้างให้ เนื้อกระดูกแข็งแรง โดยปฏิบัติดังนี้
ปัจจุบันมียารักษาโรคกระดูกพรุน 3 กลุ่ม ได้แก่
การใช้ยาควรปรึกษาแพทย์อย่างเคร่งครัด