คลินิกกระดูกและข้อ หมอวรากร เชียงใหม่ / ORTHOPAEDIC SURGEON HIP – KNEE RECONSTRUCTION AND JOINT REPLACEMENT SPECIALIST Fri, 18 Apr 2025 08:05:59 +0000 en-US hourly 1 https://wordpress.org/?v=6.8 /wp-content/uploads/2020/12/[email protected] คลินิกกระดูกและข้อ หมอวรากร เชียงใหม่ / 32 32 เมื่อเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม /5532-2/ Fri, 03 Dec 2021 16:19:00 +0000 /?p=5532

“ขยับก็เจ็บ ยืนก็เจ็บ เดินก็เจ็บ สัญญาณเตือนที่ควรรีบตรวจรักษา”

โรคข้อเข่าเสื่อมคืออะไร

คือโรคที่เกิดจากการสึกกร่อนของกระดูกอ่อนผิวข้อ ซึ่งเป็นผลมาจากอายุที่เพิ่มขึ้นและ การใช้งานมาก ผิวข้อที่สึกจะมีการขัดสีกัน ทําให้เกิดอาการปวดเข่าตามมา

ภาพแสดงการสึกกร่อนของกระดูกอ่อนผิวข้อ

มีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้าง

  1. อายุ พบข้อเข่าเสื่อมมากตามอายุที่เพิ่มขึ้น
  2. เพศ พบในเพศหญิงบ่อยกว่าเพศชาย
  3. พันธุกรรม อาจมีคนในครอบครัวเป็นข้อเข่าเสื่อมร่วมด้วย
  4. ภาวะอ้วน น้ำหนักตัวที่มากขึ้นทําให้ข้อเข่าต้องรับน้ำหนักและแรงกดทับมากขึ้น
  5. การได้รับบาดเจ็บ เช่นการมีหมอนรองกระดูกเข่าฉีกขาด หรือมีกระดูกผิวข้อแตก

อาการและอาการแสดงเป็นอย่างไร

  1. อาการปวด เป็นอาการที่พบบ่อยที่สุด มักปวดมากขึ้นเมื่อใช้งานและลดลงหลังจากพัก
  2. ข้อยึดติด เหยียดงอเข่าได้น้อยลง เคลื่อนไหวในชีวิตประจําวันลําบาก
  3. ข้อบวม อาจพบเป็นๆหายๆ เกิดจากเยื่อบุข้ออักเสบหรือมีการสร้างน้ำไขข้อมากขึ้น
  4. มีเสียงหรือความรู้สึกว่ากระดูกเสียดสีกันเวลาเคลื่อนไหวข้อ
  5. ถ้าเป็นรุนแรง ข้อจะผิดรูป ขาโก่ง
  6. ข้อหลวม รู้สึกไม่มั่นคงเวลายืนหรือเดิน
  7. กล้ามเนื้อรอบๆข้อมีขนาดเล็กลงและไม่มีแรง
ภาพแสดงภาวะขาโก่งผิดรูปที่เกิดจากโรคข้อเข่าเสื่อม

มีวิธีการรักษาอย่างไร และสามารถรักษาให้หายขาดได้หรือไม่

ปัจจุบันยังไม่สามารถรักษาโรคข้อเข่าเสื่อมให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมอาการได้ โดยจุดมุ่งหมายในการรักษาคือ ช่วยบรรเทาอาการปวด ช่วยให้หน้าที่การทํางานของข้อกลับคืน สู่ภาวะปกติหรือใกล้เคียงปกติมากที่สุด และป้องกันหรือแก้ไขการผิดรูปของข้อ วิธีการรักษาจะ แตกต่างกันไปในผู้ป่วยแต่ละราย ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ ความรุนแรงของโรค การใช้ งานที่คาดหวัง และความพร้อมของผู้ให้การรักษา
การรักษามีแนวทางหลัก 2 วิธี ได้แก่ การรักษาโดยวิธีการไม่ผ่าตัด และการรักษาด้วย วิธีการผ่าตัด

การรักษาด้วยวิธีการไม่ผ่าตัด

1.การปรับเปลี่ยนการใช้งานในชีวิตประจําวัน ได้แก่

  • การพักหรือใช้งานข้อให้น้อยลง หลีกเลี่ยงการยืนหรือเดินเป็นระยะเวลานาน
  • หลีกเลี่ยงการนั่งงอเข่า เช่น คุกเข่า พับเพียบ ยองๆ ขัดสมาธิ หรือนั่งเก้าอี้ต่ำ
  • หลีกเลี่ยงการเดินขึ้นลงบันได โดยไม่จําเป็น ถ้าจําเป็นควรเดินช้าๆและขึ้นลงทีละขั้น
  • หลีกเลี่ยงการยืนหรือนั่งท่าเดียวนานๆ ควรเปลี่ยนท่าหรือขยับข้อเข่าอยู่เรื่อยๆ
  • นั่งถ่ายบนโถนั่งชักโครก หรือใช้เก้าอี้ที่มีรูตรงกลางวางไว้เหนือคอห่านแทนการนั่งยองๆ ควรทําราวจับบริเวณโถนั่งเพื่อใช้ช่วยพยุงตัวเวลาจะนั่งหรือยืน

2.ผู้ป่วยที่มีน้ำหนักตัวมากควรลดน้ำหนักอย่างถูกต้อง
3. การใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงเดิน เช่น ไม้เท้า ไม้ค้ำยัน จะช่วยลดแรงที่เกิดกับข้อ ได้
4. ที่นอนควรมีความสูงระดับเข่า ไม่ควรนอนบนพื้นเพราะจะปวดมากเวลาจะนอนหรือลูก
5. การประคบอุ่นบริเวณข้อเข่า ช่วยลดอาการปวดและกล้ามเนื้อเกร็งได้
6. การสวมสนับเข่า ในกรณีที่ข้อเข่าเสียความมั่นคง จะช่วยกระชับข้อและลดอาการปวด
7. การทํากายภาพบําบัด ได้แก่ การฝึกความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อรอบข้อ การเพิ่มหรือคงไว้ซึ่งพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อ และการเพิ่มสมรรถภาพของร่างกาย
8. การใช้ยา ปัจจุบันมียาหลายกลุ่มที่ใช้รักษาโรคข้อเสื่อม ได้แก่

  • ยาแก้ปวดพาราเซตามอล เป็นยากลุ่มแรกที่ใช้ในการควบคุมอาการ
  • ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ช่วยลดอาการปวดและการอักเสบของข้อ
  • ยาช่วยปรับเปลี่ยนโครงสร้างของข้อ เช่น กลูโคซามีนซัลเฟต ช่วยชะลอโรค ซ่อมแซมผิวข้อ ลดการอักเสบและอาการปวด เป็นยาทางเลือกในข้อเสื่อมระยะเริ่มต้น
  • ยาทาภายนอก ช่วยลดอาการ โดยไม่ต้องเสี่ยงกับผลข้างเคียงจากยารับประทาน
  • การฉีดน้ำเลี้ยงไขข้อ เป็นทางเลือกในการช่วยลดอาการปวดและช่วยให้การเคลื่อนไหวข้อดีขึ้น
  • การฉีดสเตียรอยด์เข้าข้อ เป็นทางเลือกในข้อเสื่อมรุนแรงที่ไม่ตอบสนองต่อการ รักษาด้วยวิธีอื่น
ภาพแสดงการใช้สนับเข่าช่วยพยุงข้อและอุปกรณ์ช่วยพยุงเดิน

การรักษาโดยวิธีการผ่าตัด

มีข้อบ่งชี้คือ ผู้ป่วยที่รับการรักษาด้วยวิธีการไม่ผ่าตัดแล้วให้ผลการรักษาล้มเหลว โดย ผู้ป่วยยังมีอาการที่รุนแรงอยู่จนไม่สามารถทํากิจวัตรประจําวันพื้นฐานได้ปกติ การผ่าตัดมีหลาย วิธี ได้แก่

  1. การล้างข้อโดยใช้วิธีการส่องกล้อง ช่วยล้างน้ำไขข้อที่อักเสบ เศษกระดูก กระดูกอ่อนและเยื่อบุข้อที่หลุดร่อนออก แต่งผิวข้อให้เรียบและกระตุ้นให้มีการสร้างกระดูกอ่อนผิวข้อใหม่
  2. การผ่าตัดจัดแนวกระดูกขา ใช้ในกรณีที่เป็นข้อเสื่อมซีกเดียวร่วมกับมีขาโก่งผิดรูปเล็กน้อย เป็นการผ่าตัดปรับแนวของข้อและขาใหม่ ช่วยลดอาการปวดและเพิ่มอายุการใช้งานของข้อ
  3. การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม เป็นการผ่าตัดเอาผิวข้อที่สึกออกไปและทดแทนด้วยผิวข้อเทียม เหมาะกับผู้ป่วยที่มีการสึกของผิวข้ออย่างรุนแรง มีข้อผิดรูปหรือมีข้อยึดติดมาก
ภาพถ่ายและภาพถ่ายทางรังสีแสดงการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม
]]>
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมในผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อม /12-2/ Thu, 02 Dec 2021 17:21:00 +0000 /?p=5568
“หายทุกข์ทรมานจากอาการปวดเข่า กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขอีกครั้งหนึ่ง”

การผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมคืออะไร

คือการผ่าตัดเพื่อนผิวข้อเข่าเดิมที่เสื่อมสภาพออก และทดแทนผิวข้อใหม่ด้วยข้อเข่า เทียม

ภาพแสดงการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมเพื่อทดแทนผิวข้อเข่าเดิมที่เสื่อมสภาพ

ควรพิจารณาผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมเมื่อใด

ผู้ป่วยโรคข้อเข่าเสื่อมที่รับการรักษาด้วยวิธีการไม่ผ่าตัด (การใช้ยา การทํากายภาพบําบัด และการปรับเปลี่ยนการใช้งานข้อเข่า) อย่างเต็มที่แล้วยังให้ผลการรักษาที่ไม่ดี โดยยังมีลักษณะ ต่อไปนี้อยู่

  • ยังมีอาการปวดที่รุนแรงจนไม่สามารถทํากิจวัตรประจําวันพื้นฐานได้ปกติ เช่น ยืนเดิน ลําบาก ลุกนั่งลําบาก จําเป็นต้องใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงเดินตลอด
  • มีการผิดรูปของข้อเข่า เช่น เข่า โกงเข้าในหรือโก่งออกนอกอย่างมาก
  • ข้อเข่ายึด พิสัยการเคลื่อนไหวข้อเข่าลดลง งอและเหยียดเข่าได้ไม่เต็มที่เหมือนเดิม
  • จําเป็นต้องใช้ยาเพื่อลดอาการปวดทุกวัน หรือเกิดผลข้างเคียงจากยาจนทําให้ไม่สามารถ

ข้อเข่าเทียมทําจากอะไร

ข้อเข่าเทียมมีส่วนประกอบสําคัญ 4 ส่วน ได้แก่

ภาพแสดงการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียมเพื่อทดแทนผิวข้อเข่าเดิมที่เสื่อมสภาพ
  1. ส่วนผิวกระดูกต้นขา (Femoral component) ทําจากโลหะผสมกลุ่มโครบอลท์และโครเมียม มีลักษณะผิวเรียบ มีรูปร่างและทําหน้าที่เหมือนกระดูกอ่อนผิวข้อของกระดูกต้นขา
  2. ส่วนผิวกระดูกแข้ง (Tibial component) ทําจากโลหะผสมกลุ่มไทเทเนียม มีลักษณะเป็นแป้นสําหรับวางบนกระดูกแข้ง
  3. ส่วนหมอนรองข้อเทียม (Polyethylene) เป็นพลาสติกชนิดพิเศษอยู่ตรงกลางระหว่างโลหะทั้งสองชิ้น ทําหน้าที่รับและกระจายน้ำหนัก
  4. ส่วนผิวกระดูกสะบ้า (Patellar component) เป็นพลาสติกชนิดพิเศษรูปร่างคล้ายเหรียญ ทําหน้าที่ทดแทนผิวสะบ้าเดิม

ประโยชน์ของการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม

ผู้ป่วยจะหายจากอาการเจ็บปวด มีข้อเข่าที่ตรงและมั่นคง สามารถเดินและใช้งานได้ เหมือนหรือใกล้เคียงกับเข่าปกติโดยไม่ต้องใช้ยาอีก ผู้ป่วยมากกว่าร้อยละ 95 มีความพึงพอใจ ต่อการผ่าตัด

การผ่าตัด

ใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 1 ถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง ภายใต้การให้ยาระงับความรู้สึกทางสันหลัง โดยการตัดเอากระดูกผิวข้อที่เสื่อมออก ปรับให้เส้นเอ็นและเนื้อเยื่อรอบข้ออยู่ในภาวะสมดุล และมั่นคง แล้วทําการใส่ข้อเทียม โดยส่วนใหญ่มักใช้ซีเมนต์กระดูกยึดระหว่างข้อเทียมกับ กระดูก เมื่อสารนี้แข็งตัวดีจะมีความแข็งแรงและทนทานมาก ทําให้สามารถใช้งานข้อและเดิน ลงน้ำหนักได้ทันทีหลังการผ่าตัด

ภาพถ่ายแสดงการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม
ภาพถ่ายทางรังสีแสดงการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม

การพักรักษาตัวภายในโรงพยาบาล

ประมาณ 5-7 วัน เพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและทํากายภาพบําบัด โดยจะให้เริ่มเคลื่อนไหว ข้อและฝึกเดินในวันแรกหลังผ่าตัด เมื่อสามารถเดินและช่วยเหลือตัวเองได้อย่างมั่นใจก็สามารถ กลับบ้านได้

อายุมากและมีโรคประจําตัวสามารถผ่าตัดได้หรือไม่

ขึ้นอยู่กับการประเมินร่างกายก่อนการผ่าตัด ผู้ป่วยทุกรายจะได้รับการตรวจสุขภาพ ร่างกายอย่างละเอียด รวมทั้งการทํางานของปอด หัวใจ ตับ ไต ความเข้มข้นของเลือด เกร็ดเลือด ระดับน้ำตาล เกลือแร่ และโปรตีนในร่างกาย แล้วประเมินว่าสามารถเข้ารับการผ่าตัดได้หรือไม่ เพื่อความปลอดภัยสูงสุดของผู้ป่วย

ใครควรผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมให้ผู้ป่วย

ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ ที่ชํานาญเฉพาะทางด้านการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม

ข้อเข่าเทียมมีอายุการใช้งานนานแค่ไหน

เฉลี่ยประมาณ 20 – 25 ปีถ้าได้รับการผ่าตัด โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและไม่มีภาวะแทรกซ้อน

หลังผ่าตัดสามารถกลับไปทํางานได้เมื่อไหร่

ขึ้นอยู่กับงานที่ทํา โดยเฉลี่ยสามารถเริ่มทํางาน ขับรถและเดินทาง และเริ่มออกกําลังหรือ เล่นกีฬาที่ไม่มีการกระแทกข้อเข่า เช่น การเดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เล่นกอล์ฟได้ประมาณ 6 -8 สัปดาห์หลังผ่าตัด

หลังผ่าตัดจะหายปวด ใช้งานได้เหมือนหรือใกล้เคียงกับปกติ
กลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขอีกครั้งหนึ่ง
]]>
การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม /%e0%b8%81%e0%b8%b2%e0%b8%a3%e0%b8%9c%e0%b9%88%e0%b8%b2%e0%b8%95%e0%b8%b1%e0%b8%94%e0%b9%80%e0%b8%9b%e0%b8%a5%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%a2%e0%b8%99%e0%b8%82%e0%b9%89%e0%b8%ad%e0%b8%aa%e0%b8%b0%e0%b9%82/ Wed, 01 Dec 2021 09:53:00 +0000 /?p=736

“หายทรมานจากอาการปวดสะโพก กลับมาเดินได้ปกติอีกครั้ง”

การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมคืออะไร?

คือการผ่าตัดเพื่อนำส่วนของข้อสะโพกเดิมที่เสื่อมสภาพ กระดูกตายหรือแตกหักออก และ
ทดแทนข้อใหม่ด้วยข้อสะโพกเทียม

ภาพแสดงข้อสะโพกเทียมที่ทดแทนข้อสะโพกเดิมที่เสื่อมสภาพ

ควรพิจารณาผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียมเมื่อใด?

  1. ผู้ป่วยโรคข้อสะโพกเสื่อม อักเสบ หรือกระดูกหัวสะโพกตายในระยะท้าย ที่รับการรักษา
    ด้วยการใช้ยาทำกายภาพบำบัด และปรับเปลี่ยนการใช้งานอย่างเต็มที่แล้วยังให้ผลการรักษาที่ไม่ดี โดย
    ยังมีลักษณะต่อไปนี้อยู่
  • ยังมีอาการปวดที่รุนแรงจนไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันพื้นฐานได้ปกติ เช่น ยืน เดิน ลุก นั่ง
  • ลำบาก จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์ช่วยพยุงเดินตลอด
  • ข้อสะโพกยึดติด ขยับข้อสะโพกได้ไม่เต็มที่เหมือนปกติ
  • จำเป็นต้องใช้ยาเพื่อลดอาการปวดทุกวัน หรือเกิดผลข้างเคียงจากยาจนทำให้ไม่สามารถใช้ยาได้
  1. กระดูกสะโพกหักแล้วไม่สามารถรักษาด้วยวิธียึดดามกระดูกได้ หรือได้รับการยึดกระดูกที่
    หักด้วยวิธีอื่นแล้วล้มเหลว

ข้อสะโพกเทียมทำจากอะไร

ข้อสะโพกเทียมมีส่วนประกอบสำคัญ 4 ส่วน ได้แก่

  1. เบ้าสะโพกเทียม ทำมาจากโลหะ ยึดกับเบ้าสะโพกที่กระดูกเชิงกราน
  2. ส่วนผิวเบ้าสะโพก ทำมาจากพลาสติกชนิดพิเศษ ทำหน้าที่เป็นผิวสัมผัสกับหัวสะโพกเทียม
  3. ส่วนหัวสะโพกเทียม ทำมาจากโลหะ มีรูปร่างกลมคล้ายกับกระดูกหัวสะโพกเดิม
  4. ก้านสะโพกเทียม ทำมาจากโลหะ ยึดเข้าไปกับโพรงกระดูกต้นขาส่วนต้น

วิธีการยึดข้อสะโพกเทียมกับกระดูก

มี 2 วิธีขึ้นอยู่กับสภาพกระดูกสะโพกของผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์ ได้แก่

1. การใช้ซีเมนต์
ชนิดพิเศษที่ใช้สำหรับยึดกระดูกกับข้อเทียม

2. การยึดข้อเทียมกับกระดูกโดยไม่ใช้ซีเมนต์ซึ่ง
กรณีนี้ข้อเทียมจะมีพื้นผิวแบบขรุขระ เนื้อกระดูกจะฝังตัวเข้าที่พื้นผิวนี้

ประโยชน์ของการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม

ผู้ป่วยจะหายจากอาการเจ็บปวด มีข้อสะโพกที่มั่นคง เคลื่อนไหวได้ดี สามารถเดินและใช้งาน
ได้เหมือนหรือใกล้เคียงกับปกติ ผู้ป่วยมากกว่าร้อยละ 95 มีความพึงพอใจต่อการผ่าตัด

การผ่าตัด

ใช้เวลาเฉลี่ยประมาณ 1 ถึง 2 ชั่วโมงขึ้นกับความรุนแรงของโรค ภายใต้การให้ยาระงับ
ความรู้สึกทางสันหลัง แผลผ่าตัดจะอยู่บริเวณด้านข้างของสะโพก แพทย์จะตัดเอาส่วนหัวของกระดูก
สะโพกออก เจียผิวของเบ้าสะโพกให้เรียบและมีรูปร่างที่เหมาะสม แล้วทำการใส่ข้อสะโพกเทียม
หลังจากผ่าตัดจะอยู่ที่ห้องพักฟื้นประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วจึงกลับไปยังห้องผู้ป่วย

การพักรักษาตัวภายในโรงพยาบาล

ประมาณ 5-7 วัน เพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกายและทำกายภาพบำบัด โดยจะให้เริ่มเคลื่อนไหวข้อ
และ ฝึกเดินในวันแรกหลังผ่าตัด เมื่อสามารถเดินและช่วยเหลือตัวเองได้อย่างมั่นใจก็สามารถกลับ
บ้านได้

อายุมากและมีโรคประจำตัวสามารถผ่าตัดได้หรือไม่

ขึ้นอยู่กับการประเมินร่างกายก่อนการผ่าตัด ผู้ป่วยทุกรายจะได้รับการตรวจสุขภาพร่างกายอย่าง
ละเอียด รวมทั้งตรวจการทำงานของปอด หัวใจ ตับ ไต ความเข้มข้นของเลือด เกล็ดเลือด ระดับน้ำตาล
เกลือแร่และโปรตีนในร่างกาย แล้วประเมินว่าสามารถเข้ารับการผ่าตัดได้หรือไม่เพื่อความปลอดภัย
สูงสุดของผู้ป่วย

ใครควรผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียมให้ผู้ป่วย

ศัลยแพทย์กระดูกและข้อที่ชำนาญเฉพาะทางด้านการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม

ข้อสะโพกเทียมมีอายุการใช้งานนานแค่ไหน

แตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น สภาพร่างกายของผู้ป่วย น้ำหนักตัว ระดับ
ของงานหรือกิจกรรมที่ทำ โดยทั่วไปมีอายุการใช้งานเฉลี่ยประมาณ 15 – 20 ปี ถ้าได้รับการผ่าตัดและ
ติดตามผลการรักษาอย่างต่อเนื่องโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและไม่มีภาวะแทรกซ้อน

หลังผ่าตัดสามารถกลับไปทำงานได้เมื่อไหร่

ขึ้นอยู่กับงานที่ทำ โดยเฉลี่ยสามารถเริ่มทำงาน ขับรถ เดินทาง และเริ่มออกกำลังหรือเล่นกีฬาที่ไม่
มีการกระแทกข้อเข่า เช่น การเดิน ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เล่นกอล์ฟได้ประมาณ 6 -8 สัปดาห์หลังผ่าตัด

ทางเลือกใหม่ของผิวข้อ

ปัจจุบันมีการพัฒนาผลิตผิวสัมผัสของข้อให้มีความคงทนมากขึ้น สึกช้าลง ส่งผลให้อายุการใช้
งานของข้อยาวนานขึ้น เช่นการใช้เซรามิกหรือโลหะทำผิวเบ้าสะโพกเทียม หรือการใช้เซรามิกทำหัว
สะโพกเทียม

]]>
เส้นเอ็นข้อไหล่อักเสบ /15-2/ Tue, 08 Jun 2021 18:24:39 +0000 /?p=5616

Shoulder Impingement/Rotator Cuff Tendinitis

“ปวดไหล่ โดยเฉพาะเวลาขยับ เกิดจากอะไร”

เส้นเอ็นข้อไหล่คืออะไร ?

คือเส้นเอ็นขนาดเล็ก 4 เส้นที่อยู่บริเวณรอบข้อไหล่ เส้นเอ็นกลุ่มนี้เป็นส่วนที่ต่อเนื่องมาจากกล้ามเนื้อสะบักทอดผ่าน ข้อไหล่และยึดเกาะกับส่วนบนของกระดูกต้นแขน ทําหน้าที่ช่วยในการขยับไหล่เช่นกางแขน ยกแขน หมุน ไหล่ เป็นต้น

ภาพแสดงกล้ามเนื้อ (สีส้ม) และเส้นเอ็นที่ต่อเนื่องมาจากกล้ามเนื้อ (สีขาว) รอบๆ ข้อไหล่ทั้ง 4 เส้น

สาเหตุเกิดจากอะไร ?

การอักเสบของเส้นเอ็นข้อไหล่เกิดจากการใช้งานไหล่ซ้ำๆกันโดยเฉพาะงานที่ต้องยกแขนสูง เช่น ปัดฝุ่นหรือเช็ดถู ประตู-หน้าต่าง ตัดแต่งกิ่งไม้ ทาสีฝาผนังหรือเพดาน หรืองานหนักที่ต้องใช้แรงไหล่มาก เช่นงานที่ต้องยก แบกหรือหามของ หนัก หรือพบในนักกีฬาที่ต้องยกแขนสูง เช่น บาสเกตบอล ว่ายน้ำ แบดมินตัน

อาการเป็นอย่างไร ?

ผู้ป่วยจะมีอาการปวดบริเวณไหล่โดยเฉพาะเวลายกหรือขยับไหล อาจมีอาการปวดร้าวลงไปบริเวณต้นแขนได้ บางคน อาจมีอาการขัด ขยับไหล่ลําบากหรือบวมบริเวณไหล่ร่วมด้วย อาการเริ่มแรกอาจไม่รุนแรงมาก แต่ถ้ายังมีการใช้งานต่อไป อาการปวดอาจรุนแรงมากขึ้น อาจปวดตอนกลางคืนหรือปวดตอนพักได้ รู้สึกแขนล้าและไม่มีแรง สุดท้ายพิสัยการเคลื่อนไหว จะลดลงและทํากิจกรรมบางอย่างลําบาก เช่นสระผม หวีผม เกาหลัง ติดกระดุมหรือรูดซิบที่อยู่ด้านหลัง

วินิจฉัยได้อย่างไร จําเป็นต้องตรวจภาพถ่ายทางรังสี (เอกซเรย์) หรือไม่ ?

โดยทั่วไปแพทย์สามารถวินิจฉัยภาวะนี้ได้จากการซักถามอาการและการตรวจร่างกาย โดยไม่จําเป็นต้องตรวจภาพถ่าย เอกซเรย์ ยกเว้นในกรณีที่แพทย์สงสัยว่ามีกระดูกงอกบริเวณใกล้เคียงกับเส้นเอ็นไหล่ และทําให้เกิดการเสียดสีระหว่างกระดูก งอกกับเส้นเอ็น หรือแพทย์สงสัยโรคหรือภาวะอื่นๆของกระดูกและข้อ ไหล่ ในบางกรณีอาจต้องตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น เอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เช่นมีอาการปวดเรื้อรัง รักษาแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือสงสัยว่ามีการฉีกขาดของเส้นเอ็นข้อ ไหล่ร่วมด้วย

มีวิธีการรักษาอย่างไร ?

วัตถุประสงค์ของการรักษาคือลดอาการปวดและทําให้กลับไปใช้งานข้อไหล่ได้ โดยการรักษาขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย เช่น สุขภาพ อายุและการใช้งานที่ต้องการ ซึ่งมีการรักษา 2 แนวทาง ได้แก่

การรักษาโดยวิธีการไม่ผ่าตัด

ผู้ป่วยส่วนใหญ่เริ่มการรักษาด้วยวิธีนี้ โดยอาการปวดจะค่อยๆลดลง และการใช้งานจะค่อยๆดีขึ้นจนกลับไปใช้งานได้ ปกติ อาจใช้เวลาในการรักษานานหลายสัปดาห์จนกระทั่งหลายเดือน ประกอบด้วยหลายวิธี ได้แก่

  • การพักและปรับเปลี่ยนการใช้งาน เช่น หลีกเลี่ยงการยกของหนัก หลีกเลี่ยงงานที่ต้องยกแขนสูง
  • การใช้ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ จะช่วยลดการอักเสบ ลดอาการบวมและอาการปวดได้
  • การทํากายภาพบําบัด โดยการฝึกยืดเยื่อหุ้มข้อเพื่อเพิ่มพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อไหล่ ให้สามารถกลับไปขยับและใช้
  • งาน ได้เหมือนปกติ เมื่ออาการปวดลดลงแล้วจะเริ่มฝึกการเพิ่มความแข็งแรงของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อรอบๆ ข้อไหล่
  • การฉีดยาสเตียรอยด์บริเวณรอบๆเส้นเอ็นที่อักเสบ สามารถลดการอักเสบและอาการปวดได้ ใช้ในกรณีที่ไม่ตอบสนอง
  • ต่อการรักษาด้วยการพัก การรับประทานยาและการทํากายภาพบําบัด

การรักษาโดยวิธีการผ่าตัด

มีข้อบ่งชี้ในผู้ป่วยที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีไม่ผ่าตัด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อตัดแต่งส่วนของเส้นเอ็นและ เนื้อเยื่อบริเวณข้อไหล่ที่มีการอักเสบออก รวมทั้งการตัดแต่งบางส่วนของกระดูกรอบข้อที่ทําให้เกิดการเสียดสีกับเส้นเอ็น เทคนิคการผ่าตัดที่นิยมใช้ในปัจจุบันคือ การผ่าตัดโดยการส่องกล้อง ซึ่งทําผ่านแผลผ่าตัดขนาดเล็กๆบริเวณไหล่

]]>
โรคปวดข้อศอก เทนนิสเอลโบว์ /14-2/ Tue, 08 Jun 2021 18:18:12 +0000 /?p=5613

Tennis elbow หรือ Lateral epicondylitis

“ปวดข้อศอกด้านนอก รบกวนการทํางาน ควรทําอย่างไร”

โรคปวดข้อศอกเทนนิสเอลโบว์คืออะไร

คือการอักเสบและบาดเจ็บของเส้นเอ็นแขนในบริเวณที่ยึดเกาะกับปุ่มกระดูกด้านข้างข้อศอก เกิดจากการ ใช้งานมากและใช้งานซ้ำๆกัน พบบ่อยในช่วงอายุ 30-50 ปี เพศหญิงมากกว่าเพศชายเล็กน้อยและพบในแขนข้าง ที่ถนัดมากกว่า แต่อาจพบพร้อมกันทั้ง 2 ข้างได้

(ในบางคนภาวะนี้เกิดกับเส้นเอ็นแขนในบริเวณที่ยึดเกาะกับปุ่มกระดูกด้านในข้อศอก เรียกว่า โรคปวด ข้อศอก Golfer elbox หรือ Medial epicondylitis)

สาเหตุคืออะไร

การใช้งานหรือทํากิจกรรมบางอย่าง ที่ต้องใช้งานกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นแขน โดยเฉพาะการกระดกข้อมือ ขึ้นลงซ้ำๆกัน และต้องออกแรงมาก เช่น แม่บ้านที่ต้องกวาดบ้าน ถูบ้าน ซักผ้า หรือทํากับข้าวนานๆ, ช่างไม้ ช่าง ประปา ที่ต้องออกแรงใช้ข้อมือทํางาน, แม่ค้าขายเนื้อที่ต้องนั่นหรือสับเนื้อ ตลอดจนนักกีฬาบางประเภท เช่นนัก เทนนิส นักแบดมินตัน นักกอล์ฟเป็นต้น แต่ในบางคนก็เกิดขึ้น โดยไม่มีสาเหตุนํามาก่อน

อาการเป็นอย่างไร

ปวดบริเวณด้านข้างของข้อศอก อาจปวดร้าวลงไปที่แขนหรือร้าวขึ้นไปที่ต้นแขน บางคนอาจรู้สึกล้าหรือ อ่อนแรงในการกํามือ อาการมักเป็นมากขึ้นเมื่อใช้งานข้อมือและแขนข้างนั้น เช่นบิดผ้า บิดแฮนด์รถมอเตอร์ไซค์ บิดประแจ ไขกุญแจ เล่นเทนนิส เป็นต้น

การรักษา ประกอบด้วย 2 วิธี ได้แก่

1. การรักษาด้วยวิธีการไม่ผ่าตัด ประมาณ 80-95% ของผู้ป่วยสามารถรักษาสําเร็จด้วยวิธีนี้ มีหลายวิธี ได้แก่

  • การพักการใช้งาน, กิจกรรม หรือกีฬาที่ต้องใช้งานแขนหนัก
  • การทานยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบและลดอาการปวด อาจเสริมด้วยยาคลายกล้ามเนื้อและยาแก้ปวดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา
  • การทํากายภาพบําบัด เช่น การฝึกยืดกล้ามเนื้อ และเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
ภาพแสดงการฝึกยืดกล้ามเนื้อ
ภาพแสดงการฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • การใช้คลื่นอัลตราซาวค์หรือคลื่นเสียงกระตุ้นกล้ามเนื้อ, การประคบเย็นบริเวณกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น
  • การใช้สนับรัดพยุงข้อศอก เพื่อช่วยลดการขยับตัวของกล้ามเนื้อ และลดแรงที่มากระทําต่อเส้นเอ็น
ภาพแสดงสนับรัดพยุงข้อศอก
  • การฉีดยาสเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบ และลดอาการปวดในกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น
  • นักกีฬาที่ต้องใช้ไม้แร็กเก็ต เช่น เทนนิส แบดมินตัน ควรเลือกใช้ไม้ตีที่มีขนาดหัวไม้ และความตึงของ เส้นเอ็นที่เหมาะสม

2. การรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด

ถ้าใช้วิธีการรักษาด้วยวิธีการ ไม่ผ่าตัดอย่างเต็มที่ 6-12 เดือนแล้วยังไม่ได้ผล แพทย์อาจแนะนําให้รักษา ด้วยวิธีการผ่าตัด โดยเป็นการตัดแต่งเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อที่บาดเจ็บ และมีสภาพที่ไม่ดีออกไป และซ่อมแซม ส่วนที่ดียึดเข้ากับกระดูกด้านข้างข้อศอก

]]>
โรคเกาต์ /5604-2/ Tue, 08 Jun 2021 17:58:36 +0000 /?p=5604
ควรปฏิบัติตัวอย่างไรเมื่อเป็นโรคเกาต์

โรคเกาต์คือโรคที่มีการอักเสบของข้อ เกิดจากการมีกรดยูริกในกระแสเลือดสูงเป็นระยะเวลานานและแพร่เข้าสู่ ข้อ กลายเป็นผลึกเกาต์สะสมในข้อ ซึ่งผลึกเกาต์เปรียบเสมือนสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย ร่างกายจะตอบสนองโดยเกิด การอักเสบของข้อขึ้น โรคเกาต์เป็นโรคเรื้อรังและมีแนวโน้มที่จะแย่ลงเรื่อยๆ การวินิจฉัยและรักษาให้ถูกต้องจะสามารถ ควบคุมไม่ให้เกิดการอักเสบและป้องกันการทําลายข้อได้

สาเหตุ

เกิดจากร่างกายผลิตกรดยูริกสูงเกินหรือกําจัดออกจากร่างกายได้น้อยกว่าปกติ

กรดยูริกมาจากไหน

กรดยูริกเกิดจากการย่อยสลายของสารพิวรีนซึ่งพบได้ตามธรรมชาติในร่างกาย หรือพบมากในอาหารบาง ประเภท ร่างกายจะขับกรดยูริกโดยผ่านทางไตและปัสสาวะเพื่อควบคุมให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ระดับกรดยูริกที่ปกติ ในร่างกายจะไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ

ปัจจัยเสี่ยง

  • เพศ พบในเพศชายบ่อยกว่าเพศหญิง
  • อายุ มักพบในช่วงอายุ 30-45 ปีในเพศชาย เพศหญิงมักพบในช่วงอายุ 55-70 ปีหรือหลังหมดประจําเดือน • ประวัติครอบครัว ถ้ามีคนในครอบครัวเป็นเกาต์ ก็มีความเสี่ยงที่จะเป็นมากขึ้น
  • โรคประจําตัวบางอย่าง เช่น ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคไต
  • การใช้ยาบางอย่าง เช่น ยาขับปัสสาวะที่ใช้รักษาโรคความดันโลหิตสูงหรือโรคหัวใจ ยาละลายลิ่มเลือด
  • พฤติกรรมบางอย่าง เช่น การดื่มแอลกอฮอล์

อาการ

ข้อที่อักเสบจะมีอาการปวดและบวม อาจมีลักษณะแดงหรือร้อนได้ ข้อที่พบบ่อยคือข้อโคนนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า และข้อเข่า อาการปวดจะเป็นทันทีและรุนแรง อาจจะยืนหรือเดินลงน้ำหนักไม่ได้ การอักเสบกินระยะเวลาประมาณ 3-10 วันแล้วอาการจะค่อยๆดีขึ้นช้าๆ แต่ถ้ารับการรักษาอาการจะดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาจเกิดการอักเสบ กําเริบซ้ำได้อีก โดยอาการอาจจะรุนแรงขึ้นและเกิดขึ้นได้ เมื่อเป็นมากขึ้นอาจเกิดการทําลายผิวข้อ ทําให้ผิวข้อสึก เกิด อาการปวดข้อเรื้อรังหรือข้อผิดรูปได้ ในกรณีที่ระดับกรดยูริกสูงเป็นระยะเวลานาน อาจเกิดการแพร่เข้าสู่และสะสมใน เนื้อเยื่อตามบริเวณต่างๆ ในร่างกาย ทําให้มีลักษณะเป็นก้อนใต้ผิวหนัง เช่นบริเวณใบหูรอบๆข้อหรือเส้นเอ็นของนิ้วมือ หรือนิ้วเท้า เกิดการอักเสบเรื้อรังของเนื้อเยื่อบริเวณนั้น บางครั้งก้อนอาจแตกออกมานอกผิวหนังและเกิดการอักเสบติด เชื้อซ้ำได้ ถ้าสะสมที่ไตอาจทําให้เกิดนิ่วในไตหรือไตวายได้

ภาพแสดงการอักเสบฉับพลันของข้อนิ้วหัวแม่เท้า
ภาพแสดงการสะสมของผลึกเกาต์บริเวณนิ้วมือ นิ้วเท้า และข้อศอก

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากการซักประวัติ การตรวจร่างกาย ถ้าอาการไม่ดีขึ้นจากการรักษาเบื้องต้น อาจต้องตรวจเลือด คระดับของกรดยูริกเพื่อประกอบการวินิจฉัย อย่างไรก็ตามการวินิจฉัยที่ดีที่สุดคือการตรวจน้ำไขข้อเพื่อหาผลึกเกาต์

โรคเกาต์สามารถวินิจฉัยจากการตรวจเลือดได้หรือไม่

มีความเข้าใจผิดกันมาก ว่าการตรวจเลือดเพื่อหาระดับกรดยูริกเป็นวิธีการวินิจฉัยโรคเกาต์ ความจริงแล้วการ ตรวจเลือดนั้นเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งที่ช่วยในการวินิจฉัยเท่านั้น การตรวจพบระดับกรดยูริกในเลือดสูงเพียงอย่าง เดียวไม่ได้หมายความว่าผู้ป่วยจะต้องเป็นโรคเกาต์เสมอไป ยังมีสาเหตุอื่นๆอีกที่ทําให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงโดยที่ ผู้ป่วยไม่ได้เป็นโรคเกาต์

การรักษาประกอบด้วย

1. การลดการอักเสบและอาการปวดในช่วงที่กําเริบ ควรลดการใช้งานของข้อลง ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวม ยกข้อให้
สูงกว่าระดับหัวใจ เช่น ถ้าข้อเข่าหรือข้อเท้าอักเสบให้ยกขาสูงเวลานอน

2. การป้องกันการอักเสบซ้ำและการลดปัจจัยเสี่ยงของการสะสมผลึกเกาต์ในข้อและในเนื้อเยื่อ และป้องกันการทําลายข้อ ในระยะยาว โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ประกอบด้วย

  • การออกกําลังกายและควบคุมน้ำหนักตัวให้เหมาะสม
  • ดื่มน้ำในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อช่วยขับกรดยูริกออกจากร่างกาย อย่างน้อยวันละ 6 – 8 แก้ว
  • หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และเครื่องดื่มรสหวาน
  • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีสารพิวรีนสูง

3. การใช้ยา แพทย์จะพิจารณาสั่งและปรับยาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยยาที่ใช้มีหลายชนิด ได้แก่

  • ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ช่วยลดการอักเสบและอาการปวด ใช้เป็นครั้งคราวช่วงสั้นๆเมื่อมีการอักเสบ
  • ยาป้องกันโรคเกาต์กําเริบ แพทย์มักจะสั่งให้รับประทานในขนาดน้อยๆ ต่อเนื่องไปจนกว่าข้ออักเสบจะไม่กําเริบ
  • ก้อนผลึกเกาต์ใต้ผิวหนังยุบหายไปและระดับกรดยูริกในเลือดอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมติดต่อกันอย่างน้อย 6 เดือน
  • ยาลดกรดยูริก ได้แก่ ยาลดการสร้างกรดยูริกและยาขับกรดยูริก แพทย์จะตัดสินใจเลือกให้ตามความเหมาะสม

อาหารที่มีสารพิวรีนซึ่งเป็นสารตั้งต้นของกรดยูริก

อาหารที่มีสารพิวรีนสูง (มากกว่า 150 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม) ควรงด

  • เครื่องในสัตว์ เช่น หัวใจ ตับ ตับอ่อนเซี่ยงจี้ ก็น สมอง
  • เนื้อสัตว์ปีก เช่น ไก่ เป็ด ห่าน
  • ปลาอินทรีย์ ปลาซาดีน ปลาขนาดเล็ก ปลาไส้ตัน ปลาดุก ไข่ปลา กะปิ หอย กุ้ง
  • น้ำต้มกระดูก น้ำสกัดเนื้อ ซุปก้อน
  • ถั่วดํา ถั่วแดง ถั่วเขียว ถั่วเหลือง
  • เห็ด กระถิน ชะอม สะเดา หน่อไม้ฝรั่ง

อาหารที่มีสารพิวรีนปานกลาง(50 – 150 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม) ควรจํากัด

  • เนื้อหมู เนื้อวัว
  • ปลากะพงแดง ปลาหมึก ปู
  • ถั่วลิสง เมล็ดถั่วลันเตา ใบขี้เหล็ก สะตอ ผักโขม ยอดแค กะหล่ำดอก ตําลึง

อาหารที่มีสารพิวรีนต่ำ (0 – 50 มิลลิกรัมต่ออาหาร 100 กรัม) สามารถรับประทานได้

  • นม ผลิตภัณฑ์จากนม ไข่
  • ผักและผลไม้
]]>
พังผืดกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ /11-2/ Tue, 08 Jun 2021 17:10:47 +0000 /?p=5560
“ปวดมือ ชามือ รักษาได้”

พังผืดกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ

เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทํางานทั่วๆ ไป พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มักมีอาการปวด ตึง ชา บริเวณฝ่ามือและนิ้วมือ

ลักษณะทางกายวิภาค

ภายในข้อมือของคนเราจะมีโพรงแคบๆคล้ายอุโมงค์เป็นที่ลอดผ่านของเส้นเอ็น เส้น เลือดและเส้นประสาท ซึ่งขอบของอุโมงค์ด้านล่างและด้านข้างจะเป็นกระดูกข้อมือหลายๆชิ้น ประกอบกัน ส่วนขอบบนจะคลุมด้วยพังผืด เส้นประสาทมีเดียนเป็นเส้นประสาทที่ทอดยาวมา จากต้นแขน ผ่านข้อมือเข้าไปในมือโดยลอดผ่านโพรงนี้

ภาพแสดงลักษณะทางกายวิภาคของ เส้นประสาทมีเคียนที่ลอดผ่านใด้พังผืด

สาเหตุ

เกิดจากการที่เนื้อเยื่อรอบๆเส้นเอ็นข้อมือมีการบวมมากขึ้น ทําให้โพรงในบริเวณข้อมือ ตีบแคบมากขึ้น ส่งผลให้ความดันในข้อมือสูงขึ้น และไปกดเบียดเส้นประสาทมีเดียน

ปัจจัยเสี่ยง

  1. พันธุกรรม บางคนมีลักษณะทางกายวิภาคของโพรงข้อมือแคบกว่าคนทั่วไป
  2. การทํางานที่ต้องใช้ข้อมือมากๆ เช่น พิมพ์คอมพิวเตอร์, กวาดบ้าน ถูบ้าน, ซักผ้า,ทํากับข้าว
  3. การที่ข้อมืออยู่ในท่ากระดกขึ้นหรือลงค้างไว้นานๆ เช่น การใช้เม้าส์, คุยโทรศัพท์, เล่นแทปเล็ต, ขับรถมอเตอร์ไซค์, ใช้มือค้ํายันหรือนอนพับข้อมือ
  4. ฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะผู้ที่ตั้งครรภ์
  5. อายุ อายุมากขึ้นมีโอกาสที่จะเป็นได้มากขึ้น
  6. โรคบางอย่างเช่น เบาหวาน, รูมาตอยด์, ไทรอยด์

อาการ

ปวด ชาบริเวณฝ่ามือและนิ้วมือ โดยเฉพาะนิ้ว โป้ง ชี้ กลาง และนิ้วนาง บางคนรู้สึกบวม ตึง อาจเป็นข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้ มักมีอาการเด่นในมือข้างที่ถนัด อาการมักจะค่อยเป็นค่อย ไป โดยทั่วไปสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเวลา แต่มักมีอาการมากขึ้นตอนกลางคืน เนื่องจากขณะหลับ มักมีการพับงอข้อมือ บางครั้งอาจตื่นขึ้นมาเนื่องจากอาการปวด ชา แต่เมื่อสะบัดข้อมือแล้ว อาการจะดีขึ้น ส่วนในช่วงกลางวันมักมีอาการในขณะที่มีการใช้ข้อมือมากหรืออยู่ในอิริยาบถที่ ข้อมือพับงอเป็นเวลานาน อาการเหล่านี้มักเป็นๆหายๆ แต่เมื่อนานเข้าอาจจะเป็นตลอดเวลา

ภาพแสดงบริเวณที่มีอาการปวด

นอกจากนี้ อาจมีอาการอ่อนแรงของมือและนิ้วได้ เช่น กํามือได้ไม่แน่น หยิบจับของ แล้วหล่นง่าย ถ้าไม่รีบรักษาจะสังเกตเห็นกล้ามเนื้อในมือฝ่อลีบ

การวินิจฉัย

โดยทั่วไปสามารถวินิจฉัยได้จากการซักประวัติและตรวจร่างกายโดยแพทย์ ในบางกรณี ที่อาการไม่ชัดเจน อาจต้องตรวจการนําไฟฟ้าของเส้นประสาทเพื่อใช้ช่วยยืนยันการวินิจฉัย หรือ ใช้แยกโรคบางอย่างที่มีอาการคล้ายๆกัน

การรักษา

มีสองวิธีหลักคือ

  1. การรักษาโดยการไม่ผ่าตัด
  2. การรักษาโดยการผ่าตัด

การรักษาโดยการไม่ผ่าตัด

หากผู้ป่วยมาพบแพทย์เร็ว สามารถรักษาได้โดยการไม่ต้องผ่าตัด ซึ่งมีหลายวิธีดังนี้

  • ทานยาแก้ปวด, ยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ และวิตามินบํารุงเส้นประสาท
  • ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทํางาน เช่นลดการทํางานที่ต้องใช้ข้อมือมากๆ หลีกเลี่ยงท่าทาง ที่ต้องพับข้อมือขึ้นหรือลงเป็นระยะเวลานาน
  • ใส่อุปกรณ์พยุงข้อมือหรือเฝือกอ่อน ช่วยให้ข้อมือไม่พับงอทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน
  • กายภาพบําบัด เช่น การทําอัลตราซาวน์, การบริหารมือ, การประคบอุ่นหรือแช่น้ำอุ่น
  • การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าข้อมือ เพื่อลดการอักเสบของเนื้อเยื่อรอบเส้นประสาท
ภาพแสดงอุปกรณ์ช่วยประคองข้อมือ

การรักษาโดยการผ่าตัด

ในผู้ที่มีอาการค่อนข้างมาก ถ้ารักษาโดยวิธีการไม่ผ่าตัดแล้วได้ผลไม่ดี การผ่าตัดพังผืด จะช่วยลดการกดทับเส้นประสาทได้ การผ่าตัดเป็นการผ่าตัดเล็ก แผลผ่าตัดยาวประมาณ 1 – 1.5 ซม. ทําโดยการฉีดยาชาเฉพาะที่ ใช้เวลาผ่าตัดประมาณ 15 ถึง 20 นาที และไม่ต้องนอน โรงพยาบาล หลังการผ่าตัดผู้ป่วยสามารถขยับมือ และใช้งานเบาๆ ได้เลย อาการต่างๆมักจะ หายไปในช่วงเวลาอันสั้น อาจจะมีอาการเจ็บบริเวณแผลผ่าตัดบ้างเล็กน้อยจนกว่าแผลจะหาย

]]>
พังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ (รองช้ำ) /10-2/ Tue, 08 Jun 2021 16:57:07 +0000 /?p=5549
“ปวดใต้ส้นเท้า ยืน เดินลําบาก รักษาได้”

พังผืดใต้ฝ่าเท้าคืออะไร

พังผืดใต้ฝ่าเท้าเป็นโครงสร้างปกติที่อยู่ใต้กระดูกเท้า มีลักษณะเป็นแผ่นเนื้อเยื่อแบน ยาว ยึดระหว่างกระดูก ส้นเท้ากับกระดูกนิ้วเท้า ทําหน้าที่รักษารูปร่างเท้าให้สมดุล และช่วยลดแรงกระแทกต่อเท้า

ภาพแสดงพังผืดใต้ฝ่าเท้าและตําแหน่งที่อักเสบ

พบบ่อยแค่ไหน

พบได้ค่อนข้างบ่อย โดยเป็นสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดของผู้ป่วยที่มีอาการปวดใต้ส้นเท้า พบบ่อยในวัยกลางคน ผู้หญิงมากกว่าชาย และในคนที่ต้องใช้งานเท้ามากหรือสวมใส่รองเท้าไม่เหมาะสม

สาเหตุคืออะไร

เกิดจากการบาดเจ็บของพังผืดใต้ฝ่าเท้า เนื่องจากมีแรงกดต่อพังผืดเป็นระยะเวลานานหรือซ้ำๆกัน ทําให้เกิด การอักเสบและตึงตัวของพังผืดขึ้น โดยมักจะเกิดในตําแหน่งที่พังผืดยึดกับกระดูกส้นเท้า

ปัจจัยเสี่ยงมีอะไรบ้าง

  • คนที่มีกล้ามเนื้อน่องหรือเอ็นร้อยหวายถึง
  • รูปร่างเท้าผิดปกติ เช่น เท้าแบน หรือเท้ามีความโค้งมากกว่าปกติ
  • น้ำหนักตัวมาก
  • ใช้รองเท้าที่ไม่เหมาะ เช่น ส้นสูงเกินไป ส้นแข็งขาดความยืดหยุ่น หรือพื้นรองเท้าแบนและบางเกินไป
  • กิจกรรมหรือกีฬาบางอย่าง เช่นวิ่งระยะไกล โดยเฉพาะพื้นต่างระดับหรือพื้นไม่เรียบ

อาการ

ปวดบริเวณใต้ส้นเท้า อาจปวดร้าวไปที่ฝ่าเท้าได้ โดยอาการมักเป็นมากในช่วงเช้าขณะเริ่มเดินก้าวแรกๆ ของ วัน ขณะเดินขึ้นบันได หรือหลังจากยืน เดินนานๆ โดยอาการปวดอาจค่อย ๆ เกิดขึ้นทีละน้อยหรือเกิดขึ้น ฉับพลันรุนแรงก็ได้

การรักษา

แบ่งเป็น 2 วิธี ได้แก่

1.การรักษาโดยการไม่ผ่าตัด

ได้ผลค่อนข้างดี โดยมากกว่า 90 % ของผู้ป่วยอาการจะค่อยๆดีขึ้น มีหลายวิธี ได้แก่

  • การพัก ควรลดหรือหยุดการใช้งานเท้ามาก และกิจกรรมที่อาจทําให้อาการปวดกําเริบ เช่น การวิ่ง ยืนหรือเดินนาน ๆ การยกของหนัก
  • การประคบเย็นบริเวณที่ปวด ครั้งละ 10-15 นาที อย่างน้อยวันละ 2-3 ครั้ง
  • การใช้ยาต้านอักเสบและยาแก้ปวด
  • การทํากายภาพบําบัด ได้แก่การยึดฝ่าเท้าและเอ็นร้อยหวาย
  • การปรับเปลี่ยนรองเท้าให้เหมาะสม เช่น การเสริมแผ่นรองส้นเท้าที่หนานิ่มและมีความยืดหยุ่นเพื่อช่วยลดและกระจายแรงกระแทกบริเวณส้นเท้า และเป็นการช่วยถ่ายน้ำหนักไปยังฝ่าเท้าส่วนหน้า ควร หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูง
  • บางรายอาจต้องใส่เฝือกอ่อนเวลานอน เพื่อยืดกล้ามเนื้อน่องและพังผืดส้นเท้าไม่ให้หดเกร็งตัวตอน กลางคืน
  • หากไม่ได้ผลอาจต้องฉีดยาสเตียรอยด์บริเวณพังผืดใต้ฝ่าเท้าเพื่อลดการอักเสบและอาการปวด ควรทํา โดย แพทย์ผู้เชี่ยวชาญและไม่ควรฉีดซ้ำหลายๆครั้ง

2.การรักษาโดยการผ่าตัด

เป็นทางเลือกสุดท้ายในกรณีที่รักษาด้วยวิธีการไม่ผ่าตัดอย่างเต็มที่ประมาณ 1 ปีแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น โดย หลักการผ่าตัดคือ การตัดพังผืดใต้ฝ่าเท้าออกบางส่วนเพื่อลดความตึงตัวของพังผืด

การบริหารง่ายๆที่สามารถทําได้ด้วยตนเอง

การยึดเอ็นร้อยหวาย

ภาพแสดงการยึดเอ็นร้อยหวาย

ท่าที่ 1: ผู้ป่วยยืนหันหน้าเข้าหากําแพง ใช้มือยันกําแพงไว้วางเท้าที่ต้องการยึดเอ็นร้อยหวายไว้ข้างหลัง แล้ว ค่อยๆย่อเข่าด้านหน้าลงให้มากที่สุดเท่าที่จะทําได้ โดยขาด้านหลังเหยียดตึง ฝ่าเท้าและส้นเท้าติดพื้นตลอดเวลา
ย่อลงจนรู้สึกว่าข้อพับด้านหลังและน่องติ้ง ทําค้างไว้ นับ 1 – 10 ถือเป็น 1 ครั้ง ทําชุดละ 10 ครั้ง อย่างน้อยวันละ

ภาพแสดงการยึคเอ็นร้อยหวาย

ท่าที่ 2: ผู้ป่วยนั่งเหยียดขาข้างที่ต้องการยึดเอ็นร้อยหวาย ใช้ผ้าคล้องที่ปลายเท้าไว้แล้วดึงเข้าหาตัวจนรู้สึกว่าน่อง ด้านหลังตึง ทําค้างไว้นับ 1 – 10 ถือเป็น 1 ครั้ง ทําชุดละ 10 ครั้ง อย่างน้อยวันละ 3-5 ชุด

การยึดพังผืดใต้ฝ่าเท้า

ภาพแสดงการยุคพังผืดใต้ฝ่าเท้า

ให้นั่งไขว่ห้าง เอาเท้าข้างที่เจ็บขึ้นมาวางบนต้นขาข้างตรงข้าม แล้วกํานิ้วเท้าข้างที่เจ็บและดันเข้าหาตัวใน ท่ากระดูกนิ้วเท้าขึ้น ให้รู้สึกว่าฝ่าเท้ายืดออก เกร็งค้างไว้ นับ 1 – 10 ถือเป็น 1 ครั้ง ทําชุดละ 10 ครั้ง อย่างน้อยวัน ละ 3-5 ชุด ถ้าทําท่านี้ไม่สะดวกอาจนั่งเหยียดขาใช้ผ้าพันรอบปลายเท้าแล้วดึงเข้าหาตัวก็ได้

การป้องกัน

  • ลดน้ำหนักถ้าน้ำหนักตัวมาก
  • หลีกเลี่ยงการเดินเท้าเปล่าบนพื้นแข็ง พื้นไม่เรียบ พื้นต่างระดับ
  • สวมใส่รองเท้าที่เข้ารูปกับความโค้งของเท้า มีพื้นหนาแต่ยืดหยุ่นดี หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูง
  • บริหารโดยการยืดพังผืดใต้เท้าและเอ็นร้อยหวายอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะหลังตื่นนอนและก่อนเล่นกีฬา
  • เปลี่ยนรองเท้ากีฬาสม่ำเสมอ ไม่ควรใช้รองเท้าที่เสื่อมสภาพ
]]>
ภาวะกระดูกหัวสะโพกตายจากการขาดเลือด /5543-2/ Tue, 08 Jun 2021 16:35:59 +0000 /?p=5543

“ทําไมปวดสะโพกไม่ทราบสาเหตุ ทั้งที่อายุยังไม่มาก”

คืออะไร

คือภาวะที่เซลล์กระดูกในหัวสะโพกตายจากสาเหตุต่างๆ ส่วนใหญ่เกิดจากการขาดเลือดไปเลี้ยงกระดูก หัวสะโพก ทําให้ความแข็งแรงของกระดูกลดลง เกิดการยุบตัวของกระดูกหัวสะโพกตามมา หากไม่ได้รับการ รักษา โรคจะดําเนินไปเรื่อย ๆ จนเกิดภาวะข้อสะโพกเสื่อมตามมา และเป็นสาเหตุสําคัญอันดับแรกที่ต้องผ่าตัด เปลี่ยนข้อสะโพกเทียมในโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่

ภาพแสดงกระดูกหัวสะโพกตายและมีการยุบตัวของกระดูกหัวสะโพก

สาเหตุ

กระดูกหัวสะโพกตายเกิดได้จากหลายสาเหตุ แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ 1. สาเหตุจากอุบัติเหตุที่เกิดกับบริเวณข้อสะโพก เช่น กระดูกข้อสะโพกหัก หรือข้อสะโพกเคลื่อนหลุด 2. สาเหตุจากโรคประจําตัว หรือได้รับสารบางประเภท เช่น ภาวะเลือดแข็งตัวง่าย การดื่มแอลกอฮอล์ หรือการใช้ยาสเตียรอยด์ในปริมาณมาก การฉายรังสีบริเวณอุ้งเชิงกราน เป็นต้น

อาการและอาการแสดง

ผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บปวดข้อสะโพก บริเวณขาหนีบ อาจปวดร้าวไปหน้าต้นขาหรือหัวเข่าได้ ขยับข้อ สะโพกแล้วรู้สึกปวดมากขึ้น ติดขัดหรือขยับได้น้อยกว่าที่เคยเป็น เดินไม่คล่อง ปวดเวลาเดิน ถ้าเป็นมากอาจ เดินลําบาก เดินกะเผลก หรือรู้สึกขาสั้นยาวไม่เท่ากัน

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากประวัติ การตรวจร่างกาย และการใช้ภาพเอกซเรย์ร่วมกัน บางครั้งอาจจําเป็นต้อง ใช้ภาพเอกซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าร่วมด้วย เพราะในระยะแรกของโรค อาจไม่พบความผิดปกติจากภาพเอกซเรย์ ชนิดธรรมดา

ภาพเอกซเรย์แสดงกระดูกหัวสะโพกตายระยะต่างๆ ตั้งแต่ไม่พบความผิดปกติ (ภาพที่ 1) กระดูกหัวสะโพกเริ่มตาย (ภาพที่ 2) กระดูกหัวสะโพกยุบตัว (ภาพที่3) และข้อสะโพกเสื่อม (ภาพที่4)

การรักษา

จุดมุ่งหมายในการรักษาในระยะแรกของโรคคือ การพยายามชะลอการดําเนินโรคจนเกิดความเสียหาย ต่อกระดูกหัวสะโพกและข้อสะโพกให้ช้าที่สุด แต่ถ้าเข้าสู่ระยะที่กระดูกหัวสะโพกตายและยุบ หรือเกิดการ เสื่อมของข้อสะโพกแล้ว ไม่สามารถจะทําให้กลับมาเป็นปกติได้อีก การรักษาคือการทดแทนกระดูกและข้อที่เสียไป ดังนั้นการพิจารณาว่าจะให้การรักษาด้วยวิธีใด จะต้องคํานึงถึงขนาดของรอยโรคระยะของโรค ความคาดหวังของผู้ป่วย และผลข้างเคียงที่อาจเกิดจากการรักษา โดยการรักษาแบ่งได้เป็น 2 แนวทาง คือ

  1. การรักษาด้วยวิธีการไม่ผ่าตัด ทําเพื่อลดอาการเจ็บปวดและชะลอโรคให้ข้อสะโพกเสียหายน้อยที่สุด มักใช้ในระยะแรกที่เริ่มมีอาการ บริเวณกระดูกที่ตายมีขนาดเล็กและกระดูกยังไม่ยุบตัว แพทย์จะเริ่มรักษา ด้วยการให้ทานยาเพื่อลดความเจ็บปวด และให้คําแนะนําในการปฏิบัติตัวในชีวิตประจําวัน เช่น การออกกําลัง ที่เหมาะสม การทํากายภาพบําบัดเพื่อลดอาการปวดและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อสะโพก การใช้ ไม้ค้ำยันช่วยพยุงเดินเพื่อลดน้ำหนักและแรงกระทําต่อข้อสะโพก เป็นต้น การรักษาด้วยวิธีนี้แพทย์จะนัดตรวจ อาการและเอกซเรย์ เป็นระยะๆ เพื่อติดตามการดําเนินของโรค
  2. การรักษาด้วยการผ่าตัด มีหลายวิธี ขึ้นกับระยะและความรุนแรงของโรค เช่น การผ่าตัดเจาะกระดูกเพื่อ ให้มีเส้นเลือดใหม่เข้าไปเลี้ยงกระดูก และช่วยลดความดันในกระดูกหัวสะโพก เพื่อชะลอการดําเนินโรคและลด อาการปวด ในผู้ป่วยบางรายที่การดําเนินโรคเป็นมากแล้ว เช่น กระดูกยุบตัวหรือข้อสะโพกเสื่อม อาจต้องรักษา ด้วยการผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพกเทียม
]]>
โรคกระดูกพรุนคืออะไร /5523-2/ Tue, 08 Jun 2021 16:03:27 +0000 /?p=5523

โรคกระดูกพรุนคืออะไร

“ภัยเงียบในตัว ที่ป้องกันได้”

โรคกระดูกพรุนคืออะไร

คือภาวะที่ความหนาแน่นของกระดูกลดลง และโครงสร้างของกระดูกเสื่อมลง ทําให้กระดูก เปราะบาง และมีโอกาสหักหรือยุบตัวได้ง่าย พบบ่อยในผู้สูงอายุหรือหญิงวัยหมดประจําเดือน

บริเวณกระดูกสะโพกและกระดูกสันหลัง
ภาพแสดง โครงสร้างของกระดูกปกติเปรียบเทียบกับกระดูกพรุน
บริเวณกระดูกสะโพกและกระดูกสันหลัง

โรคกระดูกพรุน อันตรายอย่างไร

ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายที่สุดคือกระดูกหัก บริเวณที่พบบ่อย ได้แก่ กระดูกสันหลัง สะโพก และข้อมือ กระดูกหักจะทําให้เกิดอาการปวดมากจนไม่สามารถใช้งานต่อได้ ต้องพัก รักษาตัวเป็นเวลานานทําให้เกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ เช่น ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ปอด อักเสบ แผลกดทับ ภาวะโรคหัวใจและหลอดเลือด เป็นเหตุให้สุขภาพแย่ลงอย่างรวดเร็ว อาจ เป็นอันตรายต่อชีวิตได้

ภาพถ่ายรังสีแสดงกระดูกหักที่กระดูกสันหลัง กระดูกข้อมือและกระดูกสะโพก

มีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้าง

  1. ผู้สูงอายุ
  2. ผู้หญิงวัยหมดประจําเดือนหรือตัดรังไข่ออกทั้ง 2 ข้าง
  3. การกินอาหารที่มีแคลเซียมน้อย
  4. กรรมพันธุ์ มีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้
  5. เชื้อชาติ พบมากในคนผิวขาวหรือชาวเอเชีย
  6. สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์และกาแฟปริมาณมาก
  7. ขาดการออกกําลังกาย
  8. น้ำหนักตัวน้อย รูปร่างผอม
  9. โรคบางอย่าง เช่น เบาหวาน ขาดวิตามินดี โรคไทรอยด์ โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
  10. ยาบางชนิด เช่น สเตียรอยด์ ยากันชัก ยาขับปัสสาวะ

อาการของโรคกระดูกพรุน

ระยะแรกมักไม่มีอาการ แต่เมื่อเป็นมากขึ้นอาจมีอาการปวดหลังเรื้อรัง หลังโก่งค่อม ความสูง ลดลง กระดูกหักง่ายกว่าคนปกติแม้ไม่มีอุบัติเหตุที่รุนแรง

ภาพแสดงภาวะหลังโก่งที่มากขึ้นเรื่อยๆ
จากการยุบตัวของกระดูกสันหลัง

การวินิจฉัย

ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงและสงสัยว่าเป็นโรคกระดูกพรุนควรปรึกษาแพทย์ และตรวจวัดความ หนาแน่นของกระดูกโดยใช้เครื่องวัดมวลกระดูกเพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้อง

การป้องกันโรคกระดูกพรุน

ในคนปกติ หลังอายุ 40 ปี ความหนาแน่นของเนื้อกระดูกจะลดลง ดังนั้นจึงควรเสริมสร้างให้ เนื้อกระดูกแข็งแรง โดยปฏิบัติดังนี้

  1. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่ อาหารที่มีแคลเซียมสูง ได้แก่ นมและผลิตภัณฑ์จากนม กุ้งแห้ง กะปิ ปลาเล็กที่กินได้ทั้งก้าง งาดํา ถั่วต่างๆ เต้าหู้ ผักใบเขียวเช่น ผักโขม คะน้า ใบชะพลู ใบยอ
  2. ลดอาหารที่มีไขมันมาก เนื่องจากไขมันจะขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม
  3. ออกกําลังกายอย่างถูกวิธี สม่ำเสมอ เหมาะสมกับสภาพร่างกาย เพศและวัย เช่น เดิน วิ่ง เหยาะๆ รํามวยจีน เต้นรํา
  4. ควรงดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และคาเฟอีน
  5. ไม่ควรซื้อยากินเอง เพราะยาบางชนิดทําให้การดูดซึมแคลเซียมลดลง เช่น ยารักษาไทรอยด์ ยาสเตียรอยด์ ยาขับปัสสาวะ
  6. ตรวจสุขภาพเป็นประจําทุกปี

การรักษาด้วยยา

ปัจจุบันมียารักษาโรคกระดูกพรุน 3 กลุ่ม ได้แก่

  1. ยาช่วยลดการทําลายกระดูก เช่น แคลเซียม บิสฟอตฟาเนต ฮอร์โมนแคลซิโตนิน
  2. ยาช่วยกระตุ้นการสร้างกระดูก เช่น ฮอร์โมนพาราไทรอยด์เทอริพาราไทด์
  3. ยาที่ช่วยทั้งกระตุ้นการสร้างและลดการทําลายกระดูก เช่น สตรอนเทียมรานิเลต

การใช้ยาควรปรึกษาแพทย์อย่างเคร่งครัด

]]>